DoorDash ไปไกลกว่า Food Delivery ด้วย 5 เทคนิคการส่งเดลิเวอรี่ที่แตกต่าง
DoorDash เป็นบริษัท Startup จากซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งโดยกลุ่มนักศึกษา 4 คนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 2013 ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี DoorDash สามารถขยายบริการโดยเข้าถึงมากกว่า 600 เมืองทั่วอเมริกาเหนือ กลยุทธ์ที่ทำให้พวกเขาแตกต่างและดีกว่าคู่แข่งมีดังต่อไปนี้
1. ไม่มีพนักงานส่งอาหารของตัวเอง แต่สร้างอาชีพใหม่ที่เรียกว่า “Dasher”
DoorDash ไม่ได้มีพนักงานส่งอาหารที่จ้างประจำหรือมีเงินเดือน แต่เปิดให้คนทั่วไปทำหน้าที่ส่งอาหารแทน เสมือนเป็นการให้คนอื่นนำอาหารนั้นมาส่งให้และจ่ายค่าส่งอาหารเป็นการตอบแทน ซึ่งคนกลุ่มนี้คือ “Dasher” โมเดลธุรกิจนี้นอกจาก DoorDash จะประหยัดต้นทุนในการจ้างงานแล้ว ยังเป็นการสร้างอาชีพใหม่ที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถหารายได้เสริม เพียงแค่กดรับ Task จากในมือถือ เมื่อส่งถึงลูกค้าสำเร็จก็จะได้รับเงิน “Tips” ค่าส่งเข้ากระเป๋าตัวเองได้ง่ายๆ
2. ใช้ Big Data เพื่อช่วยในการส่งอาหารให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
DoorDash มีการใช้ Big Data ในการหาว่าจุดไหนเป็นจุดที่มีคนสั่งอาหารเยอะที่สุด มีการเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการเตรียมแต่ละเมนู การจราจรในแต่ละช่วงเวลา ข้อจำกัดของที่จอดรถ พาหนะที่ใช้ในการส่งอาหาร ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะถูกวิเคราะห์ จากนั้นจะถูกส่งต่อให้กับพนักงานส่งอาหาร ที่เรียกว่า “Dasher” เพื่อที่พวกเขาจะสามารถส่งอาหารได้ถึงมือลูกค้าได้เร็วที่สุด
3. มองไกลด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ใช้หุ่นยนต์ส่งอาหาร
หุ่นยนต์ส่งอาหารไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริงอีกต่อไป เมื่อ DoorDash ได้ร่วมมือกับบริษัทอย่าง Marble และ Starship ในการใช้หุ่นยนต์ในการส่งอาหาร โดยร้านอาหารสามารถใส่อาหารลงไปในหุ่นยนต์ตามที่ลูกค้าสั่ง จากนั้นหุ่นยนต์ก็จะเคลื่อนไปยังผู้รับ โดยระหว่างทางที่หุ่นยนต์วิ่งไปนั้นจะมีระบบป้องกันขโมย เมื่อหุ่นยนต์ออกนอกเส้นทาง GPS ที่ติดตามด้วยก็จะส่งสัญญาณไปที่ DoorDash ทันที เมื่อหุ่นยนต์มาถึงที่ผู้รับ ผู้รับจะสามารถเปิดฝานำอาหารออกมาได้ก็ต่อเมื่อมีการใส่รหัสที่ได้ระบุไว้เท่านั้น
4. ทำ CSR แบ่งปันอาหารให้ผู้ยากไร้
ปัญหาเรื่อง Food waste หรืออาหารที่เหลือทิ้ง เป็นปัญหาระดับโลกที่มีแนวโน้มที่จะมีอาหารเหลือทิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ DoorDash จึงได้ก่อตั้งโครงการ Project DASH ที่บริษัทร่วมกับมูลนิธิ Feeding America ดูแลเรื่องคนไร้บ้าน โดยมีแอปพลิเคชัน MealConnect ของมูลนิธิที่เป็นแพลตฟอร์มเชื่อมต่อกับจุดรับอาหาร ผู้ร่วมบริจาคสามารถถ่ายรูปอาหารที่ต้องการส่งเข้ามาในแอปพลิเคชัน ระบบจะหาจุดรับอาหารที่ใกล้ที่สุด จากนั้น DoorDash ก็จะรับหน้าที่ส่งอาหารไปยังจุดรับนั้นๆ
5. ออกแบบบริการที่ตรงกับความต้องการของนักดื่ม ด้วยบริการ Alcohol Delivery
การพักผ่อนอยู่บ้าน หลบหนีผู้คนด้วยการทานอาหารไปดูทีวีไป พร้อมจิบเบียร์เย็นๆ ที่โซฟาในบ้าน คงเป็นความรู้สึกที่ชิวไม่น้อย DoorDash เข้าใจความต้องการของลูกค้าในยุคที่เร่งรีบนี้ จึงได้เปิดทดลองบริการใหม่ในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ ให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งทั้งอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งถึงประตูบ้านได้พร้อมกัน โดยมีการเพิ่มบริการ Alcohol Delivery เข้าไปในแอปพลิเคชัน และออกแบบระบบจ่ายเงินขึ้นมาใหม่หมดเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องสามารถตรวจสอบกับทางร้านอาหารได้ว่า ทั้ง Dasher (คนส่ง) และผู้ใช้งานทางบ้าน (คนสั่ง) นั้นอายุเกิน 21 ปีจริง
สนใจเลือกซื้อกล่องอาหารทุกชนิด พร้อมโลโก้ คลิกเลย